วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

อาหารภาคเหนือ

ภาคเหนือเป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีตจวบจน ปัจจุบัน ชาวเหนือได้สรรสร้างศิลปวัฒนธรรมอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งในทุกด้าน ไม่เว้นแม้แต่การบริโภคอาหาร อันเป็นเอกลักษณ์ที่สอดคล้องกับฤดูกาลของธรรมชาติ ประกอบกับลักษณะภูมิประเทศที่มีเทือกเขาน้อยใหญ่ และมีแหล่งต้นน้ำหลายสาย ทำให้อากาศค่อนข้างหนาวเย็น ในฤดูหนาว ฤดูฝน มีความเขียวชอุ่มไปด้วยพืชพรรณธัญญาหาร
ภาคเหนือประกอบด้วย 15 จังหวัด โดยแบ่งเป็น ภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด และภาคเหนือตอนล่าง 7 จังหวัด ซึ่งลักษณะอาหารพื้นบ้านภาคเหนือนั้น จะเห็นว่าภาคเหนือตอนบนนิยมรับประทานข้าวเหนียว ภาคเหนือตอนล่าง รับประทานข้าวเจ้าคล้ายภาคกลางตอนบน โดยแหล่งอาหารในอดีตได้มาจากธรรมชาติอัน อุดมสมบูรณ์ ปัจจุบันได้จากการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ร่วมด้วย การปรุงอาหารของคนไทย ภาคเหนือส่วนใหญ่จะมีรสอ่อน หรือรสเผ็ด เค็ม เปรี้ยว แต่ไม่หวานมาก อาหารภาคเหนือไม่นิยม ใส่น้ำตาล ความหวานจะได้จากส่วนผสมที่นำมาประกอบอาหาร เช่น ความหวานจากผัก ปลา มะเขือส้ม เป็นต้น
คนภาคเหนือจะรับประทานข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก ส่วนกับข้าวก็จะหาจาก สิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่น ไก่ หมู เนื้อ ปลา ที่สำคัญคือผักพื้นบ้าน อันเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ การปรุงอาหารมีหลายวิธี เช่น การแกง การจอ การส้า การยำ การเจียว การปี๊ป การปี้น การคั่วหรือการผัด การหลู้ การต๋ำ ซึ่งอาหารของภาคเหนือมักจะทำให้สุกมากๆ เช่น ผัดผักก็จะผัดจนผักนุ่ม หรือต้มผักจนนุ่ม อาหารส่วนใหญ่จะใช้ผัดกับน้ำมัน แม้แต่ตำขนุน (ยำขนุน) เมื่อตำเสร็จก็ต้องนำมาผัดอีกจึงจะรับประทาน แต่หลายคนคงไม่ปฏิเสธว่าในสำรับขันโตก ภาคเหนือเป็นตำรับอาหารที่มีเสน่ห์ มีเอกลักษณ์รสชาติ ซึ่งมีตำนานผักพื้นบ้านและตำรับอาหาร บางชนิดดังนี้
1) แกงแค เป็นตำรับแกงที่ใช้ผักพื้นบ้านหลายๆ อย่างเป็นส่วนประกอบสำคัญ ปรุงรวมกัน สมัยก่อนคนภาคเหนือมักปรุงแกงแคด้วยผักและเนื้อสัตว์หลายชนิด รวมทั้งหมด ประมาณ 108 ชนิด แต่ปัจจุบันนี้ผักหายากขึ้นและเสียเวลา จึงปรุงตำรับอย่างย่อ ใช้เนื้อสัตว์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ผักพื้นบ้านที่ชาวเหนือเลือกมา มักเป็นผักที่ไม่มีรสขม เช่น ชะอม ชะพลู หน่อไม้ ตำลึง ผักขี้หูด ผักคราดหัวแหวน มะเขือพวง มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว บวบ ผักชีฝรั่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับผักที่หาได้ในท้องถิ่น


2) แกงฮังเล เนื่องจากภาคเหนือเป็นดินแดนที่มีหลายเผ่าพันธุ์ จากประวัติศาสตร์ ประชาชนแถบภาคเหนือมีเชื้อสายไทยใหญ่ วัฒนธรรมบางอย่างจึงมีความคล้ายคลึงกัน ทั้งด้าน ประเพณี อาหารการกิน บางตำรากล่าวว่า แกงฮังเลเป็นแกงที่ชาวพม่ารับประทานกับกล้วยไข่ ต่อมาแกงฮังเลได้แพร่เข้ามาทางภาคเหนือ แต่อย่างไรก็ตาม ถือว่าแกงฮังเลเป็นอาหารเด่น ของไทยประจำภาคเหนือตำรับหนึ่ง


3) แกงโฮะ สมัยก่อนเวลามีงานบุญต่างๆ มักมีการเตรียมของที่ทำอาหารไว้ จำนวนมาก การนำเอาแกงต่างๆ ที่เหลืออยู่ในหม้อ (หลังจากที่ตักรับประทานอิ่มแล้ว) รวมทั้งผักและเนื้อสัตว์ต่างๆ ที่เหลือจากการเตรียมมาทำแกงโฮะ ซึ่ง โฮะ เป็นภาษาเหนือ หมายถึง เอามารวมกัน

คนไทยในแต่ละภาคมีวิธีการรับประทานผักอย่างหลากหลาย แล้วแต่จะดัดแปลง กรรมวิธีอย่างไร แกงโฮะก็เป็นอาหารที่ปรุงจากผักหลายชนิดคล้ายกับอาหารหลายๆ อย่างของ คนไทยภาคอื่น แกงโฮะจะเป็นแกงที่แห้งๆ คล้ายผัด ซึ่งก็เป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของแกงโฮะ

4) ขนมจีนน้ำเงี้ยว ส่วนประกอบที่ปรุงเป็นน้ำเงี้ยวจะต่างจากการทำน้ำยาของ ภาคอื่น แทนที่จะใช้เนื้อปลา ก็จะใช้เป็นเนื้อสัตว์อื่นมาปรุงแทน เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ซี่โครงหมู และเลือดหมู และรสชาติก็จะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของน้ำเงี้ยว

5) วัฒนธรรมการกินของคนไทยจะกินอาหารเป็นสำรับ แต่บางมื้ออาจเปลี่ยน บรรยากาศเป็นอาหารจานเดียวบ้าง ถ้านึกถึงอาหารจานเดียว คนไทยได้สร้างสรรค์ไว้มากมาย ตามแต่ท้องถิ่นนั้นๆ จะนิยม เช่น ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ซึ่งก็รับประทานกันทั่วไป ขนมจีนน้ำยาภาคกลาง ตัวอย่างอาหารจานเดียวภาคเหนือ นอกจากขนมจีนน้ำเงี้ยวแล้ว คงลืมไม่ได้ที่จะกล่าวถึงข้าวซอย ข้าวซอยต้นตำรับภาคเหนือนั้น เล้นที่ใช้จะทำจากแป้งที่ได้จากข้าวนำมาทำให้ เป็นแผ่นบางๆ แล้วซอยให้เป็นเส้นๆ จึงเรียกว่า ข้าวซอย ต่อมามีการดัดแปลงเป็นการใช้เส้นบะหมี่ แทนเส้นข้าวซอย


6) น้ำพริกหนุ่ม เป็นตัวแทนภาคเหนือที่เด่นไม่แพ้อาหารอื่น ซึ่งถ้าใครไปเยือน เมืองเหนือเมื่อใด หลายคนก็อดเสียไม่ได้ที่จะหอบน้ำพริกหนุ่มมาฝากพรรคพวกเพื่อนพ้อง น้ำพริกหนุ่มเป็นอาหารเหนือที่มีรสเผ็ด มักนิยมรับประทานกับแค็ปหมู

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555


ยาไอซ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ยาไอซ์ (ice) หรือเมทแอมเฟตตามีน เป็นอนุพันธ์หนึ่งของยาบ้า มีโครงสร้างทางเคมีคล้ายๆ กัน
จัด เป็นยาเสพติดที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 1 ตามพ.ร.บ.ยาเสพติดปี 2522 ลักษณะของเม็ดยาเป็นผลึกคล้ายน้ำแข็งเป็นที่มาของชื่อยาไอซ์
ความ บริสุทธิ์ของยาค่อนข้างสูง ออกฤทธิ์แรงกว่ายาบ้ามากจึงมีคนเรียกว่าหัวยาบ้า การนำไปใช้ โดยการละลายน้ำแล้วฉีดเข้าเส้น บางคนนำไปเผาแล้วสูดดมควันเหมือนการเสพยาบ้า
ยาตัวนี้ทำให้อารมณ์เคลิบเคลิ้มสนุกสนานสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
ทำให้ติดได้ง่ายกว่า และมีอันตรายต่อร่างกาย อารมณ์และสังคมของผู้เสพมากกว่ายากลุ่ม amphetamines อื่นๆ
ไม่ได้มีแพร่หลายกันทั่วไปเนื่องจากหายากและราคาค่อนข้างแพง มักจะใช้กันในสังคมไฮโซ
นัน ท์ชัตสัณห์ สกุลพงศ์ นักจิตวิทยา ศูนย์บำบัดยาเสพติดเชียงใหม่ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ยาไอซ์ใช้เหมือนกับยากลุ่ม methamphetamine อื่นๆ คือ สูดดม กลืนหรือสอดใส่ทวารหรืออาจใช้วิธีการสูบหรือฉีด ซึ่งผลจากยาจะรวดเร็วกว่า
ผลกระทบของยาไอซ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับขนาดร่างกาย น้ำหนัก ปริมาณและวิธีการใช้ยาเสพติด
ผลของยาไอซ์ที่มีต่อร่างกายมีดังต่อไปนี้
รู ม่านตาขยาย เหงื่อออกมาก การมองพร่ามัว วิงเวียน ริมฝีปากแห้ง ความดันโลหิตสูงขึ้น อัตราการหายใจสูงขึ้น อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ปวดหัวอย่างรุนแรง อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นและผิดปกติ มือและนิ้วสั่น คลื่นเหียนอาเจียน
ที่สำคัญคือมีภาวะผิดปกติเสียหายอย่างถาวรของเส้นโลหิตในสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ใช้ในปริมาณสูง
และมีผลต่อพฤติกรรมของคนดังต่อไปนี้
มี กิจกรรมทางร่างกายมากขึ้น มีอาการหวาดระแวงและวิตกกังวลสูงขีด (panic) เกิดขึ้นเนื่อง พักผ่อนน้อยลงและมีความวิตกกังวลจากอาการประสาทหลอนนำไปสู่โรคนอนไม่หลับ เรื้อรัง
พูดมากขึ้นและมีการทำงานหรือกระทำอะไรซ้ำๆ มีพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น
มีอาการทางจิต
ผู้ใช้ยาไอซ์เป็นระยะเวลานานจะมีผลต่อไปนี้
มี อาการซึมเศร้ารุนแรง ลดความอยากอาหารและน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว หวาดระแวง ย้ำคิดย้ำทำ มีความผิดปกติของปอดและไต ซึ่งอาจถึงตายได้ ประสาทหลอน มีปัญหาเกี่ยวกับฟัน มีโรคต่างๆ เกี่ยวกับหัวใจ
นอกจากนั้นการฉีดยา ไอซ์เข้าทางเลือดทำให้ผู้ใช้มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อไวรัสทางกระแส เลือด เช่น ตับอักเสบแบบ B และ C เชื้อเอดส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการใช้อุปกรณ์ฉีดยาร่วมกัน
การบำบัดรักษา
มีรายงานว่าผู้ใช้ยาไอซ์และยากลุ่ม Methamphetamme อื่นๆ ไม่ค่อยเข้ารับการบำบัดรักษาเหมือนผู้ใช้ยาเสพติดอื่น
การบำบัดรักษาที่เป็นไปได้ขณะนี้คือ ใช้ร่วมกันระหว่างการบำบัดทางจิตสังคมและพฤติกรรมรวมทั้งการใช้ยา
นอกจากปัญหาสุขภาพและมีความผิดตามกฎหมายแล้ว ยาไอซ์ยังทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ อาทิ ปัญหาครอบครัว การเงิน กฎหมายและปัญหาส่วนตัวตามมา
เช่นเดียวกับยาเสพติดทุกชนิดคือ ผลึกใสคล้ายกับน้ำแข็ง มีอยู่ 2 ชนิด คือ ไอซ์ บริสุทธิ์ กับ ไอซ์ ไม่บริสุทธิ์ ส่วนมากเล่นในสังคมไฮโซเพราะมีราคาแพง และ หาได้ยาก
ยานรกยาอันตรายเพราะเคยเห็น ลองมาแล้ว ตอนแรก เหมือนขึ้นสวรรค์ แต่พอใกล้เวลาหมดฤทธิ์ จะทำให้ประสาทหลอน หวาดระแวงไปทั่ว ทำให้นอนไม่หลับ ร่างกายทำงานผิดปกติ รูม่านตาขยาย ทำให้อาการอยากที่เสพในปริมาณที่มาก อยู่ตลอด แล้วจะเพิ่มขึ้นๆเรื่อย

สมุนไพร มะหาด ตัวช่วยผิวขาววิ้ง

บอกตรงๆ ว่าทิชชี่เกิดมาเพิ่งจะเคยได้ยินชื่อเสียง สรรพคุณอันน่าสนใจของสมุนไพรอย่าง "มะหาด" ยิ่งช่วงนี้กระแสความฮอตของ "มะหาด" รุนแรงมากในโลกไซเบอร์  มีแปรรูปออกมาขายในหลายรูปแบบ เช่น สบู่ เซรั่ม โลชั่น ครีมกันแดด ขายออนไลน์เพียบ  แม้กระทั่งร้านค้าตามตลาดนัด  หรือห้างสรรพสินค้าชั้นนำก็ยังไม่วายมีเจ้า "สมุนไพรมะหาด" ขายเต็มไปหมด
หากคุณรู้สรรพคุณของเจ้า "มะหาด"  คุณก็จะสนเหมือนที่ทิชชี่กำลังสนอยู่  สรรพคุณที่นำโด่งคงจะเป็นสิ่งที่คุณสาวๆ ให้ความสนใจ นั้นก็คือ "การช่วยให้ผิวขาวใส"
ก่อนจะไปดูว่า "มะหาด"  ทำให้ผิวขาววิ้งจริงไหม  ทิชชี่จะพาไปทำความรู้จักกับ  "สมุนไพรมะหาด"  ตัวนี้ให้มากขึ้นก่อนค่ะ
มะหาดมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Artocarpus lakoocha Roxb. เป็นต้นไม้ยืนต้นในวงศ์ Moraceae  มีต้นกำเนิดจากทวีปเอเชียใต้ พบมากตามป่าดิบ ฮิตปลูกกันมากเพราะทุกส่วนของต้นมีประโยชน์หมด  พบมากในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
มะหาด เป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 30 เมตร ทรงพุ่มแผ่กว้าง ใบ เดี่ยว เรียงสลับรูปขอบขนาน หรือรูปวงรี กว้าง 8-10 ซม. ยาว 10-12 ซม. หลังใบเป็นมันสีเขียวเข้ม ท้องใบสาก ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ ค่อนข้างกลม ก้านสั้น แยกเพศ อยู่บนต้นเดียวกัน ผล เป็นผลรวม สีเหลือง ผิวขรุขระ มีขนนุ่ม
สารสกัดจากแก่นมะหาด ให้ผลยับยั้งเอนไซม์ชนิดนี้มากที่สุด และมีความเป็นไปได้ที่จะนำสารชนิดนี้มาพัฒนา เป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง 
นอกจากสรรพคุณช่วยขาวแล้ว "มะหาด" ยังมีสรรพคุณอีกมากมายในหลายด้าน
แก่น - ปวดหลัง ถ่ายพยาธิ แก้ท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ ทาแก้ผื่นคัน
ราก - ลดไข้ แก้กระษัยเส้นเอ็น ถ่ายพยาธิ แก้พิษร้อน
เปลือก - ลดไข้
ผลไม้ - รับประทานได้
สารสกัด - ลดผมร่วง กระตุ้นการงอกของเส้นผม แก้เริม ทำให้โรคผิวหนังค่อยๆหายไป ลดความคล้ำของเม็ดสีผิว
สมุนไพรไทย "มะหาด" ทำให้ผิวขาวได้อย่างไร?
สารสกัดจาก "แก่นมะหาด" ชื่อ oxyresveratrol จะทำให้สีผิวอ่อนลงได้ ลดความเข้มของเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง มีผลทำให้ผิวขาวได้ ปลอดภัยและไม่ทำให้ระคายเคืองผิว
หากคุณสาวๆ คิดที่จะอยากมีผิวที่ขาววิ๊งๆ ทิชชี่แนะนำให้ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน  เพราะปัจจุบันมี  "สมุนไพรมะหาด" วางขายออกเยอะมาก  อันไหนของปลอม  ของจริงเราก็ไม่รู้ สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสาวๆ พึงจะทำได้  คือการปกป้องผิวให้พ้นจากแสงแดด นอกจากปลอดภัยและประหยัดแล้ว  ยังเป็นการักษาสภาพผิวไม่ให้เข้มขึ้น  ป้องกันไม่ให้เกิดฝ้า เกิดความหมองคล้ำด้วย
แต่หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้  สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการป้องกันด้วยการทาโลชั่นกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกวันนะค่ะ


นอกจากจะปกป้องแสงแดดด้วยวิธีธรรมชาติแล้ว  ทิชชี่มีสูตรที่ทำให้ผิวขาวจากธรรมชาติมาให้คุณสาวๆ ลองด้วยค่ะ
อุปกรณ์ทำขาว (หาได้ง่ายๆ ในครัว)
โยเกิร์ต 1 ถ้วย
น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
เกลือ 1 ช้อนโตะ
ขั้นตอนทำขาว
- นำโยเกิร์ต น้ำผึ้งและน้ำมะนาวมาผสมรวมกันคนให้เป็นเนื้อเดียวจนข้น
- นำเกลือมาผสมในขั้นตอนสุดท้าย
- นำมาสครับผิวกายประมาณ 10 นาที
- ทิ้งไว้ประมาณ15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด
ถ้ายังมีกลิ่นโยเกิร์ตอยู่ ควรล้างสบู่อ่อน ๆ ซับผิวให้แห้งและทาโลชั่น
* ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะขาวเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนะคะ  ยังไงลองทำกันดู  ขาวไม่ขาว  รายผลให้ทิชชี่ฟังด้วย